วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สัตว์โลกน่ารัก




แมลงเต่าทอง

แมลงเต่าทอง หรือด้วงเต่าทอง หรือนิยมเรียกกันว่า เต่าทอง หรือ Ladybird, Ladybug ในภาษาอังกฤษ จัดเป็นแมลงปีกแข็งขนาดเล็กเมื่อเทียบกับแมลงปีกแข็งทั่วไป ตัวป้อมๆ ลำตัวส่วนหลังมีสีเหลือง หรือสีทอง หรือสีแดง บางสกุลมีหลังสีเงิน หรือสีใส เรียกว่า เต่าเงิน บางชนิดมีจุดวงกลมสีดำ ปีกแข็งใส โค้งนูน เมื่อหุบปีกเข้าหากันจะจดกับด้านหลังทำให้มองคล้ายหลังเต่า และโดยมากจะมีหนวด

วงจรชีวิตของแมลงเต่าทอง แมลงเต่าทองวางไข่ใช้เวลา ๓ วัน ไข่จะฟักออกมาเป็นหนอนที่ยังเป็นตัวอ่อน ก่อนจะกลายเป็นหนอนที่มีขนยาวปกคลุมทั้งตัวเมื่ออายุ ๗ วัน และเข้าสู่การเป็นดักแด้ในวันที่ ๑๐-๑๒ ใช้เวลา ๕ วันก่อนจะออกมาจากดักแด้ และกลายเป็นแมลงเต่าทองในที่สุด

ข้อมูลจากสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร เขียนว่า สันนิษฐานกันว่าแมลงเต่าทองมีอยู่บนโลกใบนี้ยาวนานกว่า ๓๐๐ ล้านปี โดยมีมากกว่า ๑๐๐ สายพันธุ์ มีเรื่องเล่าว่า ช่วงปลายปี ค.ศ. ๑๘๘๐ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เกิดฝูงแมลงเข้าทำลายผลส้ม ชาวสวนนึกได้ถึงเรื่องเล่าที่ว่าเกิดแมลงศัตรูพืชจำนวนมากมาทำลายข้าวในนา ชาวนาอับจนปัญญาช่วยตัวเองไม่ได้ จึงสวดอ้อนวอนพระแม่มารี พระนางก็ได้ส่งแมลงเต่าทองจำนวนมากมายลงมาช่วยจัดการกับเหล่าศัตรูพืชจนหมด จากเรื่องเล่าชาวสวนส้มแคลิฟอร์เนียจึงรวมกันสั่งซื้อแมลงเต่าทองจำนวน ๑,๐๐๐ ตัว จากออสเตรเลีย เข้ามาปล่อยให้แพร่พันธุ์ในสวนส้ม ซึ่งเลดี้บั๊กก็ได้ช่วยกันกำจัดแมลงศัตรูพืชจนหมดสิ้น

ในความเป็นจริงแมลงเต่าทองมีความสามารถในการหาที่อยู่ใหม่ และพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตหากินในระบบนิเวศได้เป็นอย่างดี มันสามารถหากินในที่แคบ และอาศัยอยู่ใต้ก้อนหินหรือเปลือกไม้ได้ ในยามที่อากาศหนาวเย็นมักพบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งบางคนบอกว่าช่วงนี้เป็นการจำศีล หรืออาจพักร่างกาย เพื่อรอช่วงใบไม้อ่อนผลิออกมา

เต่าทองตัวเมียเริ่มออกวางไข่ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างรีๆ สีเหลือง ยาวประมาณ ๑ มิลลิเมตร เรียงคล้ายบันไดใต้ใบไม้ หลังตัวอ่อนฟักออกมาสู่โลกภายนอก มีลำตัวยาวสีเทาดำ มีจุดลายสีขาวอมเหลือง มีหนามตามลำตัว มีขา ๓ คู่ เคลื่อนไหวได้ว่องไวเพื่อล่าเพลี้ยกินเป็นอาหาร ตุนไว้ดำรงชีวิตให้อยู่รอดขณะเปลี่ยนเป็นดักแด้ พอโตเต็มวัยมีสีแดง แดงอมส้ม หรือเหลือง ที่ปีกมีจุด ๖ จุด เป็นเส้นหยักขวาง ๒ คู่ และจุด ๑ คู่ ใกล้ปลายปีก

ปัจจุบันมีโอกาสเห็นเลดี้บั๊กกันน้อย สาเหตุหนึ่งมาจากการใช้สารเคมีในไร่สวนจำนวนมาก บ้านไหนที่ปรับเปลี่ยนไปใช้ชีวภาพกำจัดศัตรูพืช เต่าทองก็จะออกมาอวดรูปโฉมให้เห็น เสมือนบ่งบอกว่าโชคดี (เพราะลดต้นทุนการผลิตลงได้) กำลังมาเยือนสวนนี้แล้ว ฉะนี้จึงกล่าวได้ว่า แมลงเต่าทองเป็นตัวชี้วัดสภาพแวดล้อมว่ามีสารพิษตกค้างอยู่มากน้อยเพียงใดได้เป็นอย่างดี

แมลงเต่าทองเป็นขวัญใจของหลายคน เพราะสวยงาม ทั้งดูเป็นมิตร และแม้จะมีหลายชนิด มีลักษณะสีที่หลากหลาย แต่แมลงเต่าทองมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือการใช้เวลาส่วนใหญ่ด้อมๆ อยู่ตามต้นไม้ เพื่อหาอาหารนั่นเอง และแม้ว่ามันจะบินได้ แต่แมลงเต่าทองชอบเดินมากกว่าด้วยขาทั้งหกของมันซึ่งแข็งแรงพอที่จะพาตัวไต่ขึ้นๆ ลงๆ ตามลำต้นไม้ ครั้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแมลงเต่าทองจะรวมตัวกันตามกอไม้ดอก เพื่อรวบรวมละอองเกสรให้มากที่สุด เพราะละอองเกสรจะให้ไขมันมาก เพื่อใช้สำหรับการดำเนินชีวิตในหน้าหนาวซึ่งมันจะจำศีล





หิ่งห้อย

หิ่งห้อยหรือแมลงแสง แมลงคาเรือง แมลงทิ้งถ่วง เป็นแมลงปีกแข็ง ในวงศ์แลมพายรีดี (Lampyridae) อันดับโคลีออปเทอรา (Coleoptera) สำหรับภาษาอังกฤษก็มีเรียกหลายชื่อล้วนแต่แปลว่าแมลงมีแสงทั้งนั้น ทั้ง ไฟเออร์ฟลาย - Firefly, ไลต์นิ่ง บั๊ก - Lightning bug, แลมพายริด - Lampyrid และโกลว์ เวิร์ม - Glow worm ส่วนความหมายของคำว่า "หิ่งห้อย" พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายไว้สั้นๆ ว่า แมลงชนิดหนึ่ง มีแสงเรืองๆ ที่ก้น

จากข้อมูลสำรวจพบทั่วทั้งโลกมีหิ่งห้อยประมาณ ๒,๐๐๐ ชนิด ประเทศไทยมีประมาณ ๑๐๐ ชนิด หิ่งห้อยตัวแรกที่มีหลักฐานอยู่ในพิพิธภัณฑ์แมลงกองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร คือ Luciola substriata Gorham พบโดยชาวอังกฤษชื่อ ดับเบิลยู.เอส.อาร์. ลาเดล (W.S.R. Ladell) จำแนกชนิดโดย จี.อี.บี. กอแรม (G.E.B. Gorham) เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ระบุสถานที่พบว่า ประเทศไทย

หิ่งห้อยมีแสงทั้งระยะหนอน ดักแด้ และตัวเต็มวัย ส่วนระยะไข่มีแสงเฉพาะบางชนิดเท่านั้น หิ่งห้อยตัวผู้มีปีก ขณะที่ตัวเมียมีรูปร่างหลายแบบ มีทั้งปีกปกติ ปีกสั้น และมีรูปร่างคล้ายหนอน หิ่งห้อยระยะหนอนกินหอย ไส้เดือน กิ้งกือ และแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร มีแหล่งอาศัยแตกต่างกันไปตามชนิดของมัน เช่น อาศัยตามบริเวณน้ำจืด น้ำกร่อยที่มีน้ำทะเลหนุน และสภาพที่เป็นสวนป่า หรือภูเขาที่มีสภาพแวดล้อมดั้งเดิมไม่ถูกทำลาย

ตัวเต็มวัยของหิ่งห้อยมีอวัยวะทำแสงอยู่ที่ปล้องท้องด้านล่าง ตัวผู้ให้แสง ๒ ปล้อง ตัวเมียให้แสง ๑ ปล้อง แสงในตัวผู้จึงสว่างกว่าตัวเมีย แต่บางชนิดตัวเต็มวัยเพศเมียมีรูปร่างคล้ายหนอน มีอวัยวะทำแสงด้านข้างของลำตัว แสงของหิ่งห้อยเป็นแสงเย็น เกิดจากปฏิกิริยาของสารลูซิเฟอริน (luciferin) ที่อยู่ในอวัยวะ ทำแสง กับออกซิเจน มีเอนไซม์ลูซิเฟอเรส (Luciferase) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และมีสารอดีโนซีน ไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate: ATP) เป็นตัวให้พลังงานทำให้เกิดแสง ทั้งนี้ หิ่งห้อยกะพริบแสงเพื่อการผสมพันธุ์และสื่อสารซึ่งกันและกัน ส่วนวงจรชีวิตของหิ่งห้อยจะยาวนานหรือสั้น ขึ้นอยู่กับฤดูกาล อุณหภูมิ ความชื้นและความสมบูรณ์ของอาหาร

สำหรับต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบ ไม่ได้มีเพียงต้นลำพู แต่เพราะว่า หิ่งห้อยตัวเต็มวัยไม่กินอาหาร มันกินแต่น้ำหรือน้ำค้างที่เกาะอยู่ตามใบไม้ ต้นลำพูเป็นพืชที่มีขนที่ใบจึงทำให้น้ำค้างเกาะอยู่จำนวนมาก เป็นแหล่งอาหารอย่างดีของหิ่งห้อย

หิ่งห้อยเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศและสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะมีคุณสมบัติที่สามารถใช้เป็น "ตัวห้ำ" ควบคุมศัตรูพืชตามหลักการทางชีวภาพ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การเกษตรกรรม หิ่งห้อยจะทำลายหอยเชอรี่ ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญกัดกินทำลายต้นข้าวในระยะลงกล้าและระยะปักดำใหม่ๆ ทั้งยังเป็นตัวห้ำทำลายหอยที่เป็นโฮสต์กึ่งกลางของพยาธิที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในคน โรคเลือดในสัตว์ และพยาธิใบไม้ลำไส้ในคน

ด้านพันธุวิศวกรรม สามารถใช้สารลูซิเฟอรินในหิ่งห้อยเป็นเครื่องบ่งบอกว่าการตัดต่อยีนส์ประสบผลสำเร็จหรือไม่ รวมถึงสามารถนำยีนส์หรือฮอร์โมนที่สร้างแสงสว่างของหิ่งห้อยไปใช้ประโยชน์ในการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียในเนื้อสัตว์ได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์เอกซเรย์ในสหรัฐอเมริกาได้สกัดสารลูซิเฟอรินจากหิ่งห้อย ปล่อยเข้าไปในร่างกายมนุษย์เพื่อให้แสงไปจับตามหน่วยถ่ายพันธุกรรมที่อาจสะสมอยู่ในเซลล์ที่เป็นมะเร็ง เพื่อช่วยให้การตรวจหาเนื้อร้ายในร่างกายได้ง่ายขึ้น

หิ่งห้อยมีมากในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม โดยควรชมในคืนเดือนมืด จะเห็นแสงหิ่งห้อยชัดเจน





งูแมวเซา

งูแมวเซา เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Daboia russellii (ตั้งชื่อตาม แพทริก รัสเซลล์ นักฟิสิกส์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสกอต) ในวงศ์ Viperidae ที่มีอยู่ในประเทศไทย และเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Daboia

ขนาดโตเต็มที่ได้ ๑๒๐-๑๖๖ เซนติเมตร หัวเป็นรูปสามเหลี่ยมยาว คอเล็กตัวอ้วนสั้น หางสั้น มักทำเสียงขู่ฟ่อยาวๆ เมื่อรู้ว่ามีศัตรูเข้าใกล้

งูแมวเซาแบ่งได้เป็น ๒ ชนิดย่อย ได้แก่ งูแมวเซาอินเดีย Indian Russell"s vipe อนุทวีปอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ตลอดจนศรีลังกา มีลายสีนํ้าตาลเข้ม เป็นวงแยกจากกัน

งูแมวเซาสยาม Eastern Russell"s viper พบในพม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย ภาคใต้ของจีนและเกาะไต้หวัน มีสีเทานํ้าตาลหรือนํ้าตาลอมชมพูและมีลายสีนํ้าตาลเข้มเป็นวงปื้นใหญ่เชื่อมติดต่อกัน ท้องสีขาวนวลมีจุดสีนํ้าตาลเล็กๆ เกล็ดมีขนาดเล็กและมีสัน หัวเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมและมีลายดำคล้ายลูกธนู มีเกล็ดเล็กละเอียดบนหัว เขี้ยวพิษมีความยาว

งูแมวเซาในประเทศไทยเป็นชนิดย่อย (Subspecies) แตกต่างจากที่พบในอินเดีย พบในแถบจังหวัดในภาคกลางและตะวันออก เช่น นครนายก ลพบุรี สระบุรี ชัยนาท นครราชสีมา ปราจีนบุรี

เป็นงูที่มีรูปร่างอ้วนป้อม ลำตัวสั้น หางสั้น เวลาตกใจหรือถูกรบกวนมักขดตัวเหมือนแมวนอนขด พร้อมทั้งทำเสียงขู่คล้ายแมวอีกด้วย แต่ฟังดีๆ เสียงมันคล้ายยางรถยนต์รั่ว หลังจากมันสูบลมเข้าไปในตัวจนตัวพอง แล้วพ่นลมออกมาทางรูจมูกแรงๆ แทนที่จะเลื้อยหนี ฉกกัดได้รวดเร็วแทบไม่ทันตั้งตัวทั้งๆ ที่ขดตัวอยู่

ส่วนหัวของงูแมวเซา มีพฤติกรรมชอบอยู่ตามที่ราบแห้งๆ เชิงเขาที่เป็นดินปนทราย ตามที่ดอน หรือซ่อนตัวในซอกหิน โพรงดิน ใต้กอหญ้าใหญ่ๆ ไม่ชอบย้ายที่อยู่บ่อยๆ ปกติไม่เลื้อยขึ้นต้นไม้ ออกหากินไม่ไกลจากที่อยู่ เป็นงูที่มีความเชื่องช้าไม่ปราดเปรียว มีอุปนิสัยดุ เมื่อถูกรบกวนจะส่งเสียงขู่

ชอบความเย็น แต่ไม่ชอบน้ำ มักออกหากินในเวลากลางคืน แต่ในสถานที่ที่มีความเย็น ก็อาจออกหากินในเวลากลางวันด้วย โดยกินหนูหรือสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดเล็กชนิดต่างๆ

เป็นงูที่ออกลูกเป็นตัว ครั้งละประมาณ ๒๐-๓๐ ตัว (สูงสุด ๖๓ ตัว) ผสมพันธุ์ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม และไปออกลูกช่วงฤดูร้อน ลูกงูแรกเกิดมีน้ำหนัก ๗.๒-๑๔.๔ กรัม และความยาวโดยเฉลี่ย ๒๔-๓๐ เซนติเมตร

พิษงูแมวเซา มีฤทธิ์ต่อระบบโลหิตเป็น haematotoxin ส่งผลต่อผลการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกิดเลือดออกง่าย เนื่องจากองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือดถูกใช้หมดไป นอกจากนี้แล้วพิษของงูแมวเซายังมีผลต่อไต ทำให้เกิดอาการไตวายได้ และยังมีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยตรง

อาการของผู้ที่ถูกกัด จะมีอาการปวดและบวมมาก อาการบวมเกิดขึ้นได้ภายใน ๒-๓ นาทีภายหลังถูกกัด มักจะมีรอยเขี้ยว ๒ จุดซึ่งมีเลือดไหลออกตลอดเวลา และบริเวณรอบแผลจะมีสีคล้ำบริเวณโดยรอบเขี้ยวจะบวมอย่างชัดเจนภายใน ๑๕-๒๐ นาที และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบริเวณที่ถูกกัดบวมหมดภายในเวลา ๑๒-๒๔ ชั่วโมง และอาจเริ่มพองและมีเลือดออก

ผู้ที่ได้รับพิษมากจะมีอาการของเลือดออกง่ายภายในเวลา ๒-๓ ชั่วโมง เช่น เลือดออกเป็นจ้ำๆ บริเวณผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเสมหะปนเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด เลือดออกจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความดันโลหิตต่ำ ไตวายและเสียชีวิตลงในที่สุด

การรักษาต้องให้เซรุ่มแก้พิษงูแมวเซา จนกว่าเลือดจะแข็งตัว ปกติ ปริมาณเซรุ่มที่ใช้ในผู้ป่วยถูกงูแมวเซากัดมักน้อยกว่าที่ใช้รักษางูเห่ากัดซํ้า

ผู้ป่วยบางรายบริเวณแผลถูกกัดไม่บวม ไม่ปวด ไม่มีเลือดออก แต่หลังถูกกัด ๑-๒ ชั่วโมง มีอาเจียนเป็นเลือดเล็กน้อย อาการแสดงอย่างอื่นไม่มี แต่แพทย์จะพิจารณาให้เซรุ่มด้วย เพราะผู้ป่วยที่ถูกงูแมวเซากัดมีอาการตกเลือด นอกจากนี้ยังใช้สเตียรอยด์ ลดบวม ปวด





เต่าตนุ

คำว่า เต่าตนุ ออกเสียง ตะหนุ ชื่อภาษาอังกฤษว่า Green turtle กรีนเทอร์เทิล แปลว่า เต่าเขียว จากสีของกระดอง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelonia mydas อยู่ในวงศ์ Cheloniidaeและเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chelonia

เป็นเต่าทะเลที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมากเมื่อโตเต็มที่ โตเต็มที่เมื่ออายุได้ ๔-๗ ปี มีขนาดใหญ่รองจาก เต่ามะเฟือง ยาวประมาณ ๑.๕ เมตร

ลักษณะเด่น มีเกล็ดบนส่วนหัว ๑ คู่ บนกระดองแถวข้าง ๔ เกล็ด น้ำหนักราว ๑๓๐ กิโลกรัม หัวป้อมสั้น ปากสั้น เกล็ดเรียงต่อกันโดยไม่ซ้อนกัน กระดองหลังโค้งนูนเล็กน้อย บริเวณกลางหลัง เป็นแนวนูนเกือบเป็นสัน ท้องแบนราบขาทั้ง ๔ แบน เป็นใบพาย

ขาคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าขาคู่หน้ามาก ขาคู่หน้ามีเล็บแหลมเพียงข้างละชิ้น สีของกระดองดูเผินๆ มีเพียงสีน้ำตาลแดงเท่านั้น แต่ถ้าหากพิจารณาให้ละเอียด จะพบว่าเกล็ดแต่ละเกล็ดของกระดองหลังมีสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลอมเขียว ขอบเกล็ดมีสีอ่อนๆ เป็นรอยด่างและมีลายเป็นเส้นกระจายออกจากจุดสีแดงปนน้ำตาล คล้ายกับแสงของพระอาทิตย์ที่ลอดออกจากเมฆ เต่าชนิดนี้จึงมีอีกชื่อว่า เต่าแสงอาทิตย์

ไข่ของมัน บางครั้งชาวบ้านก็เรียกรวมๆ กับเต่าทะเลชนิดอื่น ว่า ไข่จะละเม็ด

เชื่อว่าเต่าตนุอายุยืน ๘๐ ปี เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕

พบกระจายพันธุ์ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก ในไทยพบได้บริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามัน มักพบในเขตที่มีอุณหภูมิน้ำที่ค่อนข้างอุ่น คือ สูงกว่า ๒๐ องศาเซลเซียสขึ้นไป

เต่าตนุเป็นเต่าที่กินทั้งพืชและสัตว์ แต่จะกินพืชเป็นหลัก จำพวกหญ้าทะเลหรือสาหร่ายทะเล ส่วนสัตว์น้ำขนาดเล็กทั่วไป เช่น ปลาหรือแมงกะพรุน เป็นอาหารรองลงไป

ฤดูวางไข่ตกอยู่ในราวเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนกันยายน ในบริเวณอ่าวไทยและอยู่ในราวเดือนกันยายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ในทะเลอันดามัน จำนวนไข่ต่อครั้งมีตั้งแต่ ๗๐-๑๕๐ ฟอง เต่าขนาดโตเต็มที่แล้วจะว่ายน้ำหากินไปเรื่อยๆ แต่จะกลับมาวางไข่บนชายหาดที่ถือกำเนิด

เป็นเต่าที่มักพบในเขตน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งหรือตามเกาะต่างๆ สำหรับในน่านน้ำไทย ฝั่งทะเลอันดามันพบวางไข่มากที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา บนชายหาดและเกาะหลายแห่งในจังหวัดภูเก็ตและพังงา ส่วนฝั่งอ่าวไทย พบที่เกาะคราม จ.ชลบุรี เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช และชายหาดที่ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์

สาเหตุเต่าตนุเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง เพราะมันถูกจับเป็นอาหารกันมากตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จำนวนประชากรเต่าตนุลดลงจากการใช้ประโยชน์จากไข่เต่าและตัวเต่าเป็นการค้าอย่างเป็นระบบ โดยตัวเต่าจะให้เนื้อ น้ำมันและหนัง

เต่าชนิดนี้ยังติดอวนจมน้ำตายมาก และจำนวนอีกไม่น้อยถูกชาวประมงใช้เบ็ดราวที่เรียงกันไว้อย่างถี่ๆ จับขณะที่จะขึ้นมาวางไข่อีกด้วย

ไม่เพียงแต่ในไทยเท่านั้น ในประเทศอื่นๆ เต่าตนุตกอยู่ในสภาพเสี่ยงสูญพันธุ์ จากการถูกจับและการก่อสร้างอาคารรุกพื้นที่ชายหาด มันจึงมีชื่ออยู่ในบัญชีอนุรักษ์ของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ หรือ หรือ IUCN และอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือ CITES (ไซเตส)





หมึก

หมึกเป็นสัตว์นํ้าไม่มีกระดูกสันหลัง อยู่ในกลุ่มเดียวกับหอย หรือทางวิทยาศาสตร์เรียกกลุ่ม Mollusk ซึ่งในโลกนี้มีหมึกอยู่หลายสายพันธุ์ มีขนาดตั้งแต่เล็กไม่กี่มิลลิเมตรที่เรียกว่าหมึกแคระ จนถึงขนาดใหญ่หลายสิบเมตรที่เรียกว่าหมึกยักษ์ โดยหมึกจะกินสัตว์ขนาดเล็กที่ลอยในทะเล และกินปลาที่มีขนาดเล็กเป็นอาหาร

หมึกถูกนำมาปรุงเป็นอาหารมากมายหลายเมนู ตั้งแต่บริโภคแบบสดอย่างชาวญี่ปุ่น หรือนำมาประกอบเป็นอาหารคาว หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยทั้งหมดล้วนแต่ใช้ส่วนที่เป็นเนื้อหมึก คุณค่าทางโภชนาการที่ได้ก็จะเป็นโปรตีนเป็นหลัก ซึ่งเมื่อดูในรายละเอียดด้านคุณภาพของโปรตีนในเนื้อหมึก โดยวิเคราะห์หาปริมาณกรดอะมิโน พบว่าเป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายสูง

ทั้งนี้ กรดอะมิโนจำเป็นก็คือกรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น โดยเฉพาะไลซีนและทรีโอนีนซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตในเด็ก และจากการประเมินคุณภาพของโปรตีนโดยใช้ค่าคะแนนของกรดอะมิโน พบว่าโปรตีนของหมึกมีคุณภาพดีพอสมควร เช่น หมึกกล้วยได้คะแนนเท่ากับ ๗๔ (นํ้านมวัวมีค่าเท่ากับ ๙๑) นอกจากโปรตีน ก็จะมีส่วนที่เป็นไขมันและวิตามินต่างๆ เช่น บี ๑ บี ๒ และ ไนอะซิน

นอกเหนือจากเนื้อ หมึกยังมีอีกส่วนที่นำมาใช้เป็นอาหารได้ และน้อยคนจะรู้ว่ามีประโยชน์น่าสนใจทีเดียว สิ่งนั้นก็คือนํ้าสีดำๆ ของหมึกนั่นเอง ที่นำไปทำอาหารอย่างเช่นเส้นสปาเกตตีสีดำ ซอสครีมหมึกดำ พิซซ่าหมึกดำ ฯลฯ และนํ้าหมึกยังใช้สำหรับเป็นหมึกพิมพ์ได้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น